
หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมตัวเองถึงได้มีปัญหาขอบตาดำคล่้าเหมือนคนอดหลับอดนอน จนทำให้ใบหน้าดูหมองคล้ำ เกิดความไม่มั่นใจได้ แม้ว่าจะพักผ่อนเพียงพอ และดูแลตัวเองอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม เพราะความจริงแล้วปัญหาใต้ตาดำคล้ำที่เกิดขึ้นนั้นมาจากภาวะภูมิแพ้ที่เรียกว่าใต้ตาดําจากภูมิแพ้ ดังนั้น เพื่อช่วยให้คนเป็นภูมิแพ้ที่ขอบตาดำเข้าใจมากขึ้น มาดูไปด้วยกันผ่านบทความนี้ว่าขอบตาดําจากภูมิแพ้เกิดจากอะไร สามารถรักษาและมีวิธีแก้ขอบตาดําจากภูมิแพ้ได้อย่างไรบ้าง

ทำไมคนเป็นภูมิแพ้จึงมีใต้ตา ขอบตาดำคล้ำ
ขอบตาดําจากภูมิแพ้หรือ Allergic shine สามารถพบได้บ่อยในกลุ่มคนที่มีภาวะภูมิแพ้จมูกอักเสบ หรือภูมิแพ้ตา ซึ่งกรณีที่เกิดจากภูมิแพ้จมูกจะมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล คัดจมูกเรื้อรัง จาม และเยื่อบุจมูกบวม ส่งผลให้เกิดปัญหาเลือดคั่งจนทำให้ใต้ตาล่างมีลักษณะดำคล้ำ ส่วนคนที่มีภาวะภูมิแพ้ตาจะมีอาการเคืองตา คันตา และแสบตาอย่างต่อเนื่อง จึงเกิดการขยี้ตาแรงอยู่บ่อยครั้ง ทำให้รอบดวงตาถูกเสียดสีจนขอบตาคล้ำขึ้น
นอกจากนี้ เมื่อสารฮีสตามีนในร่างกายทำปฎิกิริยากับสารก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ อย่างละอองดอกไม้ ไรฝุ่น ฝุ่นละออง รังแคสัตว์เลี้ยง และเชื้อรา จะทำให้หลอดเลือดบริเวณรอบดวงตาเกิดการขยายตัว และเลือดไหลเวียนมาอยู่บริเวณรอบดวงตา รวมถึงกระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลามีน ส่งผลให้ผิวรอบดวงตาคล้ำมากกว่าเดิม

7 วิธีแก้ใต้ตา ขอบตาดำจากภูมิแพ้ บอกลาตาแพนด้า
ปัจจุบันปัญหาขอบตาดําจากภูมิแพ้ สามารถบรรเทาได้ด้วยวิธีธรรมชาติและการรักษาทางการแพทย์ พบกับ 7 วิธีแก้ใต้ตาและขอบตาดำง่ายๆ ที่ช่วยบอกลาตาหมีแพนด้าให้กลับมาสดใสอีกครั้ง
1. ทาครีม และมาสก์รอบดวงตา
สำหรับวิธีแก้ขอบตาดําภูมิแพ้วิธีแรกคือ การทาครีมและการมาสก์รอบดวงตา เริ่มจากการเลือกใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของ Whitening โดยจำเป็นต้องทาเป็นประจำทุกวันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผิวบริเวณรอบดวงตากระจ่างใสขึ้น
ทั้งนี้ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพราะบริเวณรอบดวงตาเป็นจุดที่บอบบาง และระคายเคืองได้ง่าย หากใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานอาจทำให้เกิดการอักเสบรอบดวงตา หรือมีปัญหาใต้ตาดําจากภูมิแพ้มากกว่าเดิม ส่วนการมาสก์ใต้ตานอกจากการใช้ครีมมาสก์ที่มีจำหน่ายในท้องตลาดแล้ว ยังสามารถใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ อย่างแตงกวา มะเขือเทศ หรือว่านหางจระเข้มาใช้ในการแก้ใต้ตาและขอบตาดำ โดยการฟานบางๆ แล้วแช่เย็น ก่อนนำออกมาประคบรอบดวงตาประมาณ 10–20 นาที แนะนำให้ทำ 3–4 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดอาการขอบตาดําจากภูมิแพ้ได้มากขึ้น
2. นวดใต้ตา
การนวดใต้ตาเป็นอีกหนึ่งวิธีที่อยากแนะนำให้คนที่มีขอบตาดําจากภูมิแพ้ทำอย่างต่อเนื่องทุกวัน เพราะการนวดจะช่วยให้การไหลเวียนเลือดรอบดวงตาดีขึ้น ลดโอกาสเกิดใต้ตาดําภูมิแพ้จากปัญหาเลือดกระจุกตัวกันบริเวณใต้ตา การนวดใต้ตาเพื่อลดปัญหาขอบตาดําจากภูมิแพ้สามารถใช้นิ้วนวดได้เลย หรือทาอายครีมบำรุงผิวก่อนนวดก็ได้เช่นกัน สำหรับการนวดจะแบ่งออกเป็น 3 ท่า โดยควรนวดแต่ละท่าอย่างเบามือ ทำซ้ำท่าละประมาณ 5 – 10 รอบ ดังนี้
- ท่าที่ 1 ใช้นิ้วกลางกับนิ้วนางวางตรงกลางใต้ตา จากนั้นจึงค่อยใช้นิ้วกลางลากไปทางหางตา ส่วนใช้นิ้วนางลากไปทางหัวตา
- ท่าที่ 2 ใช้นิ้วกลางกับนิ้วชี้นวดวนใต้ตา จากหัวตาไปหางตา
- ท่าที่ 3 หลับตาลงแล้วใช้นิ้วกลางกับนิ้วนางนวดที่ขอบตาบนเป็นวงกลม จากหัวตาไปหางตา เพื่อเป็นการผ่อนคลาย ให้เลือดกระจายตัวได้ดีขึ้น
3. ประคบใต้ตาด้วยน้ำอุ่นหรือด้วยถุงชา
การประคบอุ่นใต้ดวงตาเป็นวิธีแก้ขอบตาดําจากภูมิแพ้ โดยการกระตุ้นหลอดเลือด และการไหลเวียนโลหิตเพื่อแก้อาการใต้ตาดําจากภูมิแพ้ ซึ่งการประคบอุ่นสามารถทำได้ 2 วิธีดังนี้
- ใช้ผ้านุ่มชุบน้ำอุ่น แล้วนำมาประคบเปลือกตาประมาณ 5 นาที จากนั้นให้ล้างเปลอกตาด้วยน้ำเย็น
- แต่หากดื่มชาเป็นประจำแนะนำว่าอย่าเพิ่งทิ้งให้นำถุงชาที่ยังมีความอุ่นอยู่ บิดน้ำชาออกให้พอหมาด จากนั้นนำมามาประคบที่เปลือกตาประมาณ 10 – 15 นาที จะยิ่งช่วยลดปัญหาขอบตาดําภูมิแพ้ได้ดียิ่งขึ้น
4. ใช้แผ่นเจลเย็นปิดตาก่อนนอน
การใช้แผ่นเจลแช่เย็นวางไว้ที่บริเวณดวงตาเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ทุกคืน เพราะนอกจากจะช่วยให้นอนหลับสบายขึ้นแล้ว ความเย็นจากเจลยังช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้อบริเวณรอบดวงตาคลายตัว ลดการขยายตัวของหลอดเลือด และถนอมหลอดเลือดรอบดวงตา ลดอาการขอบตาดําภูมิแพ้และทำให้รอบดวงตากลับมาสดใส
5. พักผ่อนให้เพียงพอ
หากต้องการรักษาอาการภูมิแพ้พร้อมกับการมีสุขภาพที่ดีขึ้น คนที่มีปัญหาภูมิแพ้จำเป็นต้องดูแลตัวเอง โดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงความเครียดที่ส่งผลให้เกิดอาการนอนไม่หลับ และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็จะช่วยลดปัญหาขอบตาดําภูมิแพ้ รวมไปถึงอาการอื่นๆ ของโรคภูมิแพ้ด้วย
6. ดื่มน้ำเยอะๆ
การดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ลดปัญหาใต้ตาดําภูมิแพ้ ปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรง และช่วยให้ใบหน้าดูสดใสสุขภาพดีขึ้น สำหรับคำแนะนำในการดื่มน้ำสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Academy of sciences – NAS) และสถาบันแพทยศาสตร์ (The Institute of Medicine – IOM) ได้ผู้หญิงควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2.7 ลิตรหรือ 11.5 แก้วต่อวัน ส่วนผู้ชายควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 3.7 ลิตร หรือ 15.5 แก้วต่อวัน นอกจากนั้นแนะนำให้รับประทานผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และเกลือแร่ ช่วยเสริมให้ผิวดูสุขภาพอีกทางหนึ่งด้วย
7. ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
นอกจากวิธีแก้ขอบตาดําภูมิแพ้ด้วยการดูแลตัวเองตามวิธีตามธรรมชาติ มาสก์หน้า ทาครีมบำรุง และการนวดกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตแล้ว หากต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้นนาน แนะนำให้แก้ปัญหาขอบตาดําภูมิแพ้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์รอบดวงตา ซึ่งวิธีนี้มีข้อดีตรงที่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นภาวะใต้ตาดําภูมิแพ้ กรรมพันธุ์ หรือการเสื่อมของชั้นผิว นอกจากนั้นยังช่วยลดริ้วรอยรอบดวงตาให้ดูเต่งตึงขึ้น เนื่องจากฟิลเลอร์เข้าไปช่วยลดความคล้ำรอบดวงตาที่เกิดจากเม็ดสีเมลานิน และระบบไหลเวียนโลหิตไม่ได้ พร้อมกับเป็นการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึกและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับรอบดวงตา ทำให้รอบดวงตาไม่หมองคล้ำและดูสดใส

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดใต้ตา ขอบตาดำจากภูมิแพ้
ถึงแม้ว่าปัญหาขอบตาดําจากภูมิแพ้จะสามารถรักษาได้ด้วยวิธีธรรมชาติ การดูแลตัวเอง และการฉีดฟิลเลอร์ แต่ทางที่ดีก็ควรป้องกันไม่ให้เกิดใต้ตาดําจากภูมิแพ้อีก เพื่อให้รอบดวงตาสดใส ไม่มีรอยคล้ำ สำหรับวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขอบตาจากดําภูมิแพ้มีดังนี้
- คนที่มีอาการภูมิแพ้ หากพักผ่อนน้อยจะทำให้สุขภาพแย่ลง เพราะฉะนั้นจึงควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อลดโอกาสเกิดอาการภูมิแพ้ และช่วยให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น
- ควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตา การเกา หรือการสัมผัสดวงตาแรงๆ เพราะจะทำให้รอบดวงตาเกิดระคายเคืองและคล้ำขึ้น
- ควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และปรับสภาพผิวให้แข็งแรง
- ควรออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดและเสริมสร้างความแข็งแรงให้ร่างกาย
- ควรหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ เช่น มลพิษ ฝุ่น PM2.5 ฝุ่นละออง ควัน ขนสัตว์ รังแคสัตว์เลี้ยง เชื้อรา เป็นต้น แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรใส่หน้ากาอนามัย เพื่อลดความรุนแรงของอาการแพ้
- หากมีอาการขอบตาดําภูมิแพ้อย่างรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาและทดสอบภาวะภูมิแพ้

เลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี?
สำหรับคนเป็นภูมิแพ้ขอบตาดำ และอยากรักษาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ควรเลือกใช้บริการคลินิกที่ได้รับรองจากกระทรวงสาธารณะสุข เครื่องมืออุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน และที่สำคัญดำเนินการโดยจักษุแพทย์ที่ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน อย่างที่ First Clinic เพราะ
- คลินิกความงามรอบดวงตาได้มาตรฐาน หมดกังวลด้านความเสี่ยง
- หมอเฟิสท์ จักษุแพทย์ประสบการณ์ด้านฟิลเลอร์รอบดวงตามากกว่า 15 ปี
- จักษุแพทย์พร้อมแก้ปัญหารอบดวงตาด้วยฟิลเลอร์อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมบอกลาปัญหาใต้ตาลึก ถุงใต้ตา เบ้าตาลึก ตาสามชั้น รอยคล้ำใต้ตา และรอยย่นรอบดวงตา
- มีรีวิวจากผู้เข้ารับบริการจริง ตรวจสอบได้
- พร้อมบริการให้คำแนะนำออนไลน์ ที่ First Clinic | LINE Official Account
สรุป
คนที่มีภาวะภูมิแพ้จมูกอักเสบและภูมิแพ้ตามักมีอาการใต้ตาดําภูมิแพ้ ซึ่งเกิดจากการเยื่อบุจมูกบวมทำให้เกิดปัญหาเลือดคั่งที่ใต้ตา หรือมาจากพฤติกรรมการขยี้ตาแรงๆ จากอาการระคายเคืองตา รวมถึงสารฮีสตามีนในร่างกายที่ทำปฏิกิริยากับสารก่อให้เกิดภูมิแพ้ เป็นผลให้หลอดเลือดรอบดวงตาขยายตัว เลือดมาไหลเวียนมาคลั่งอยู่เฉพาะรอบดวงตา ทำให้เกิดรอยคล้ำและดำขึ้นเรื่อยๆ แต่คนเป็นภูมิแพ้ที่ขอบตาดำไม่ต้องกังวลเพราะปัญหาขอบตาดำจากภูมิแพ้สามารถป้องกัน และบรรเทาด้วยการดูแลร่างกายให้แข็งแรง รักษาด้วยวิธีธรรมชาติ และการทาครีมบำรุงรอบดวงตา
อย่างไรก็ตาม หากรักษาด้วยวิธีธรรมชาติไม่เห็นผลหรือเห็นผลช้า แนะนำให้ใช้วิธีฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ First Clinic คลินิกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากกระทรวงสาธารณะสุข ควบคุมการรักษาโดยจักษุแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านการฟิลเลอร์รอบดวงตามากกว่า 15 ปี สามารถแก้รอยคล้ำใต้ตาและจัดการกับปัญหาอื่นๆ รอบดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการวิธีใต้ตา ขอบตาดำ จากภูมิแพ้ (FAQ)
เมื่อรู้วิธีแก้ปัญหาขอบตาดำจากภูมิแพ้กันไปแล้ว มาดูคำตอบจากคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการแก้ใต้ตาดำ ขอบตาดำจากภูมิแพ้กันได้เลย
เป็นภูมิแพ้มีโอกาสหายหรือไม่
หายได้ แต่ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการเป็นขอบตาดําภูมิแพ้ หากรีบรักษาอย่างถูกวิธีอาจทำให้หายได้เร็วขึ้น
ฉีดฟิลเลอร์แก้ใต้ตาดำ ผลลัพธ์อยู่ได้นานกี่เดือน
อยู่ได้ 6–24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่เลือกฉีด
นวดใต้ตา จะช้ำกว่าเดิมหรือไม่
ไม่ทำให้ช้ำแต่อย่างใด เพราะเป็นการช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ลดการคั่งค้างของเลือดรอบดวงตา ทำให้บริเวณรอบตาและใต้ตากลับมาดูสดใสอีกครั้ง